วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

บุคคลสำคัญของชาติไทย

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ



สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงที่มีพระปรีชาสามารถและพระมหากรุณาธิคุณแก่พสกนิการชาวไทยอย่างล้นเหลือ โดยเฉพาะในระหว่างที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในช่วงพัฒนาและเปลี่ยนแปลง ทรงเป็นพระกำลังสำคัญในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ในการพัฒนาบ้านเมืองให้ได้รับความเจริญก้าวหน้าทั้งด้านการปกครอง การศึกษาและการสาธารณูปโภคอื่นๆ ทั้งยังทรงเป็นผู้มีความสามารถในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการปกครอง การพัฒนา การศึกษา การบริหาร โดยเฉพาะด้านประวัติศาสตร์ ทรงนิพนธ์หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไว้มากมายกว่า ๖00 เล่ม ทำให้ทรงได้รับการยกย่องให้เป็น “พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย” นอกจากนี้ยังเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ให้กำเนิดกิจการหลายอย่าง เช่น กิจการมหาดไทย ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ การศึกษา สาธารณสุข ทรงก่อตั้งโรงพยาบาล ส่วนในท้องถิ่นที่ห่างไกลทรงริเริ่มก่อตั้งโอสถศาลา หรือสถานีอนามัยในปัจจุบัน อีกทั้งทรงก่อตั้งกรมพยาบาล จนมีความก้าวหน้าและพัฒนาเป็นกระทรวงสาธารณสุขในปัจจุบัน นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในทุกรัชกาลที่ทรงรับราชการถวายสนองพระเดชพระคุณอีกด้วย
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๕๓ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ และเจ้า
จอมมารดาชุ่ม


ประสูติเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔0๕
เนื่องจากในขณะนั้นการศึกษาของไทยยังไม่มีระเบียบแบบแผนดังเช่นในปัจจุบันซึ่งต่อมาสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นพระองค์หนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการวางรากฐาน และการพัฒนากินการด้านการศึกษาให้มีระเบียบแบบแผนดังเช่นในปัจจุบันนี้ ส่วนการศึกษาในขณะนั้นส่วนใหญ่ยังคงเล่าเรียนกันตามวัด หรือสำนักของเจ้านายต่างๆ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ได้รับการศึกษาเช่นเดียวกันพระโอรสองค์อื่นในขณะนั้น โดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเข้ารับการศึกษาขั้นต้นจากสำนักคุณแสง และคุณปาน ราชนิกูลเก่าในพระบรมมหาราชวัง ภาษาบาลีจากสำนักพระยาปริยัติธรรมธาดา (เปี่ยม) และหลวงธรรมนุวัติจำนง (จุ้ย) และภาษอังกฤษจากสำนักโรงเรียนหลวง ซึ่งมีนายยอร์ช แปตเตอร์สัน (Mr. Francis George Patterson) เป็นอาจารย์ ต่อมาทรงเข้าศึกษาวิชาการทหารในสำนักหลวงรัดรณยุทธ์ (เล็ก) ในปี พ.ศ. ๒๔๑๗ ทรงเข้าพิธีโสกันต์ตามโบราณราชประเพณี จากนั้นในปีต่อมาทรงบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และผนวชเป็นพระภิกษุในปี พ.ศ. ๒๔๒๕ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ จากนั้นได้ประทับจำพรรษาที่วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม และได้ประทับจำพรรษาที่วัดนิเวศธรรมประวัติ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา
หลังจากที่ได้รับการศึกษาจนมีความรู้ความสามารถพอสมควร เมื่อพระชนมายุ ๑๔ พรรษ ได้ทรงเข้ารับราชการครั้งแรกในกองทัพบก โดยการเข้าศึกษาในฐานะนักเรียนนายร้อย และได้รับพระราชทานยศนายร้อยตรีทหารมหาดเล็กบังคับกองแตรวง แม้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เข้าทำงานในตำแหน่งทหารชั้นผู้น้อย แต่ก็มิได้ทรงรังเกียจแม้จะเป็นราชนิกูลชั้นสูงก็ตาม จากนั้นทรงได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเรื่อยๆ โดยต่อมาทรงได้รับพระราชทานตำแหน่งผู้บังคับการทหารม้า, ผู้บังคับการมหาดเล็กรักษาพระองค์, ผู้ช่วยผู้บังคับการทหารบก ตามลำดับ หลังจากที่ทรงเข้ารับราชการจนมีความชำนาญ และประสบการณ์พอสมควร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ได้มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาช่วยงานด้านพลเรือน ด้วยในขณะนั้นเป็นช่วงที่บ้านเมืองต้องการการพัฒนาอย่างมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงต้องการบุคคลผู้มีทั้งความสามารถฉลาดหลักแหลม ซึ่อสัตย์จงรักภักดีเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยในการปฏิบัติภารกินที่สำคัญ และสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ตำแหน่งทางพลเรือนที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้รับมอบหมายเป็นตำแหน่งแรกคือ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ ข้าราชการกรมธรรมการ จากนั้นในปีต่อมาทรงได้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศึกษาธิการ ทรงรับราชการจนเป็นที่พอพระทัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย โดยทรงเป็นเสนาบดีพระองค์แรกของกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากประชวรจนพระวรกายทรุดโทรมอย่างมาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีที่ปรึกษากระทรวงมหาดไทย เมื่อทรงรักษาพระอาการจนพระวรกายเป็นปกติดีแล้ว ทรงเข้ารับราชการอีกครั้งหนึ่งในตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมุรธาธร แต่ต่อมาในรัชการพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงทูลเสนอให้ยุบเลิกกระทรวงมุรธรธรนี้เสีย ด้วยไม่มีความจำเป็นมากนัก ซึ่งได้ทรงเห็นชอบตามที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทูลเสนอไป
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงก่อตั้งราชบัณฑิตยสถานขึ้น โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพดำรงตำแหน่งนายกราชบัณฑิตยสถานพระองค์แรก ราชบัณพิตยสถานมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงานหอสมุด พระนคร และพิพิธภัณฑสถาน จากความดีความชอบในราชการที่ทรงปฏิบัติมาตลอดพระชนม์ชีพ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ทรงได้รับพระราชทานพระอิสสริยยศของพระบรมวงศ์ต่างกรมเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งถือได้ว่าเป็นพระอิสสริยยศที่สูงที่สุดของพระบรมวงศานุวงศ์
หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ไปประทับที่เกาะปีนัง เพื่อนหลีกเลี่ยงความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้เสด็จกลับประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากประชวรด้วยโรคพระหทัยพิการและเข้าประทับรักษาพระองค์ ณ พระตำหนักวังวรดิศ ถ. หลานหลวง เพื่อรักษาพระอาการ แต่พระอาการไม่ดีขึ้นและทรุดหนักลงเรื่อยๆ จนกระทั่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ รวมพระชนมายุได้ ๘๑ พรรษา
ในปี พ.ศ. ๒๕0๕ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ( UNESCO) ได้ยกย่องสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพให้เป็นบุคคลสำคัญระดับโลก เนื่องจากพระนิพนธ์ด้านประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังทรงเป็นบุคคลไทยคนแรกที่ได้รับการยกย่องจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติด้วย


บุคคลต่างชาติที่ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศไทย

หมอ บรัดเลย์


หมอบรัดเลย์ หรือ แดน บีช แบรดลีย์ (Dan Beach Bradley, M.D.) หรือบางคนเขียนเป็น หมอบรัดเลหมอปลัดเล หมอปรัดเล หรือ หมอปรัดเลย์ เป็นนายแพทย์ชาวอเมริกันที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 3 และยังเป็นผู้เริ่มต้นการพิมพ์อักษรไทยในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และทำการผ่าตัดในประเทศไทยเป็นครั้งแรก

แดน บีช บรัดเลย์ เป็นชาวเมืองมาร์เซลลัส (Marcellus) เกิดเมื่อ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2347 บุตรคนที่ห้าของนายแดน บรัดเลย์และนางยูนิช บีช บรัดเลย์ สำเร็จการแพทย์จาก มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สมรสกับภรรยาคนแรก เอมิลี รอยส์ บรัดเลย์ และภรรยาคนที่สอง ซาราห์ แบลคลี บรัดเลย์

คนไทยกับคนอเมริกันได้พบเห็นหน้าอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อในรัชกาลที่ ๓ ในครั้งนั้นประธานาธิบดีแย็กสัน (Andrew Jackson) ได้แต่งตั้งให้เอมินราบัดหรือ เอดมันด์ รอเบิต (Edmond Roberts) เป็นทูตขี่เรือกำปั่นเข้ามาทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้าขายเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ (ภายหลังประเทศอังกฤษ) และต่อจากนั้น ๓ ปี หมอบรัดเลย์ก็นั่งเรือใบเข้ามา

หมอบรัดเลย์เป็นคนเมืองมาร์เซลลุส (Marcellus) ในมลรัฐนิวยอร์ก เป็นเมืองที่บิดามารดามาตั้งครอบครัวอยู่หลังจากอพยพมาจากนิวฮาเวน (New Haven) บิดาชื่อ แดน บรัดเลย์ มีอาชีพเป็นศาสนาจารย์, เกษตรกร, ผู้พิพากษา และบรรณาธิการวารสารทางเกษตรกรรม มารดาชื่อ ยูนิซ บีช บรัดเลย์ (Eunice Beach Bradley) เมื่อนางให้กำเนิดหมอบรัดเลย์เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๔๗ แล้ว นางก็สิ้นชีวิตในวันต่อมา หมอบรัดเลย์เป็นบุตรคนที่ ๕ ชื่อแรกมาจากชื่อของบิดาคือ แดน และชื่อกลางมาจากชื่อสกุลมารดาคือ บีช รวมเป็นแดน บีชบรัดเลย์

ต่อมาบิดาของท่านได้แต่งงานใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๘ ท่านจึงได้รับการเลี้ยงดูจากมารดาเลี้ยง และมีน้องที่เกิดจากแม่คนใหม่อีก ๕ คน แม้กระนั้นก็ได้ให้ความรักความเมตตาแก่ท่านเป็นอย่างดี ทำให้ไม่รู้สึกว้าเหว่แต่อย่างใด

ท่านเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เป็นเด็ก จึงอาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ท่านสนใจในการพิมพ์หนังสือในสมัยต่อมา และอยากให้คนไทยอ่านหนังสือกันมาก ๆเผอิญสิ่งแวดล้อมในอเมริกาครั้งนั้นเป็นผลดีแก่เมืองไทย ที่จะได้คนดีอย่างหมอบรัดเลย์เข้ามา คือในสมัยนั้นทางฝ่ายเผยแผ่ศาสนาคริสต์มีความต้องการมิชชันนารีที่เป็นแพทย์จำนวนมาก หมอบรัดเลย์จึงได้ตัดสินใจเข้าศึกษาวิชาแพทย์แทนที่จะทำงานทางศาสนา และเนื่องจากขณะนั้นสุขภาพไม่ค่อยดี ในระยะแรกท่านจึงศึกษากับนายแพทย์โอลิเวอร์ (Dr. A.F. Oliver) ที่เมือง Penn Yan แบบตามสบายเพื่อรอให้สุขภาพดีขึ้นเมื่ออยู่ในวัยรุ่น ท่านมีข้อบกพร่องอยู่อย่างหนึ่งคือพูดติดอ่าง ซึ่งเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งในการเผยแผ่ศาสนาที่จะต้องพูดหรือบรรยายธรรม ฉะนั้นท่านจึงต้องรีบแก้ไขโดยการเข้ากลุ่มฝึกพูด ซึ่งก็เป็นผลดี

ในหนังสือ ๕๐ ปีโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน นายแพทย์คทาวุธ โลกาพัฒนา ได้กล่าวถึงการเรียนวิชาแพทย์ของหมอบรัดเลย์ไว้ตอนหนึ่งว่า

"การศึกษาวิชาแพทย์ในสมัยนั้นเป็นการศึกษาแบบปฏิบัติกับแพทย์ที่ปฏิบัติงานอยู่ จนกระทั่งมีประสบการณ์เพียงพอจึงจะสอบเพื่อรับปริญญา ท่านเคยไปฟังบรรยายทางการแพทย์ที่ Harvard ในปี ค.ศ. ๑๘๓๐ และกลับไปฝึกปฏิบัติงานการแพทย์สลับกับการเป็นครูในหมู่บ้าน เมื่อสะสมเงินได้เพียงพอ จึงไปที่โรงเรียนแพทย์ในกรุงนิวยอร์กเพื่อเรียนและสอบได้ปริญญาแพทย์ในเดือนเมษายนค.ศ. ๑๘๓๓

ระหว่างอยู่ในนิวยอร์กยังได้ปฏิบัติงานหาความชำนาญ และระหว่าง ๒ ปีนั้นอหิวาตกโรคกำลังระบาดอยู่ในนิวยอร์ก โดยระบาดมาจากเมืองควิเบก ขณะศึกษาอยู่ในนิวยอร์กได้สมัครเป็นแพทย์มิชชันนารีกับ ABCFM (American Board of Commissioners of Foreign Missions) เพื่อทำงานในอาเซีย

ที่นิวยอร์ก หมอบรัดเลย์ได้รู้จักกับบุคคลสองคนซึ่งมีผลต่อการดำเนินชีวิตในระยะต่อมา คนแรกคือ Charles Grandison Finneyซึ่งเป็นนักเทศน์และอาจารย์จาก Oberlin College มีความเชื่อว่า มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตโดยไม่มีบาป คือดำรงชีวิตของตนเช่นเดียวกับพระคริสตเจ้า ความเชื่อนี้มีผลต่อการปฏิบัติงานของหมอบรัดเลย์ในเมืองไทย คนที่สองคือ Reverend Charles Eddy แห่งคณะ ABCFM ซึ่งแนะนำว่าการทำงานมิชชันนารีในต่างแดนควรจะมีผู้ช่วย"

ในที่สุดหมอบรัดเลย์ได้เข้าศึกษาที่ College of Physicians ที่เมืองนิวยอร์ก และได้รับปริญญา Doctor of Medicine เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๘๓๓ (พ.ศ. ๒๓๗๖) พร้อมที่จะเป็นมิชชันนารีต่อไป

ในช่วงเวลาที่หมอบรัดเลย์เกิดจนถึงรุ่นหนุ่ม สังคมอเมริกันได้เกิดความเคลื่อนไหวที่สำคัญซึ่งมีอิทธิพลต่อแนวความคิดและวัฒนธรรมอเมริกัน คือการฟื้นสำนึกทางศาสนาครั้งใหญ่ เป้าหมายสำคัญคือการฟื้นฟูหลักธรรมของศาสนาคริสต์โปรเตสแตนต์ โดยมีการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านอบายมุข การเคลื่อนไหวเพื่อการเลิกทาส และการรณรงค์เพื่อเดินทางออกไปเผยแพร่ศาสนายังประเทศต่างๆทั่วโลก การฟื้นสำนึกทางศาสนาที่มีอิทธิพลต่อหมอบรัดเลย์โดยตรง หมอบรัดเลย์ในวัยหนุ่มตั้งใจจะศึกษาทางด้านอักษรศาสตร์ แต่ต้องประสบปัญหาทางด้านการพูดออกเสียงและมีอายุมากเกิน จึงต้องเบนเข็มเข้าเรียนทางด้านการแพทย์แทน โดยเริ่มเข้าศึกษาชั้นต้นกับคลินิกแพทย์คนหนึ่งที่ออเบิ์รน แต่ต้องพักการเรียนระยะหนึ่งเนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ ต่อมาเมื่อสุขภาพแข็งแรงแล้วก็คิดจะเรียนต่อทางด้านศาสนา เพื่อเป็นผู้สอนศาสนา แต่ก็ต้องประสบปัญหาทางด้านการเงินและอายุอีก จึงหันกลับมาเรียนต่อ ทางด้านการแพทย์อีกครั้ง โดยมุ่งหวังว่าจะทำให้สามารถทำงานเผยแพร่ศาสนาได้ ในที่สุด หมอบรัดเลย์ก็เรียนสำเร็จ ได้รับปริญญาทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ในปี 2376


เมื่อได้ปริญญาทางการแพทย์แล้วหมอบรัดเลย์จึงสมัครเป็นมิชชันนารี กับคณะ เอ บี ซี เอฟ เอ็ม (American Board of Commissioner Foreign Mission) คือคณะมิชชันนารีเพื่อพันธกิจต่างชาติ หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า "คณะอเมริกันบอร์ด" คณะอเมริกันบอร์ดอนุมัติให้หมอบรัดเลย์เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาในเอเชียได้ จุดหมายปลายทางคือ ประเทศสยาม ซึ่งกำลังเป็นที่รู้จัก ตามธรรมเนียมของการเดินทางมายังประเทศห่างไกลเช่นนี้ มิชชั่นนารีจำเป็นต้องมีคู่แต่งงานเดินทางมาด้วย หมอบรัดเลย์จำเป็นต้องหาผู้หญิงที่พร้อมจะเป็นคู่ชีวิตและยอมเป็นคู่ชีวิตและยอมเดินทางไปทำงานไกลบ้านเกือบครึ่งโลกด้วยความเต็มใจ ไม่นานหมอบรัดเลย์ก็ได้พบผู้หญิงคนนั้น เธอคือ เอมิลี่ รอยซ์

1 กรกฎาคม 2377 หมอบรัดเลย์ออกเดินทางจากบอสตันมุ่งหน้าสู่สยาม โดยเรือ "แคชเมียร์" ใช้เวลารอนแรมในทะเลเป็นเวลา 6 เดือน หมอบรัดเลย์ก็มาถึงสิงคโปร์ในวันที่ 12 มกราคม 2378 และแวะพักอยู่ที่สิงค์โปร์อีก 6 เดือน ก่อนจะเดินทางเข้าสู่สยามในวันที่ 18 กรกฎาคม 2378 เป็นวันเกิดปีที่ 31 ปีพอดี

เมื่อมาถึงสยามหมอบรัดเลย์ได้อาศัยพักรวมอยู่กับครอบครัวของศาสนาจารย์สตีเฟน จอห์นสัน ที่ย่านวัดเกาะ โดยมีเป้าหมายเพื่อเผยแผ่ศาสนากับชุมชนชาวจีนก่อนเป็นลำดับแรก ที่บ้านพักย่านวัดเกาะนี้ หมอบรัดเลย์ได้เปิดโอสถสถาน ขึ้น เพื่อทำการรักษา จ่ายยา และหนังสือเกี่ยวกับศาสนาให้กับคนไข้

แต่ไม่นานกิจการนี้ก็ถูกเพ่งเล็ง ว่าอาจทำให้ชาวจีนกระด้างกระเดื่องต่อรัฐบาลสยามได้ จึงมีการกดดันเจ้าของที่ดินคือนายกลิ่นไม่ให้มิชชันนารีเช่าที่ต่อไปอีก หมอบรัดเลย์จึงต้องย้ายมาเช่าที่ของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ที่บริเวณหน้าวัดประยูรวงศาวาส เป็นที่ทำการแห่งใหม่


ที่อยู่แห่งใหม่นี้เองที่หมอบรัดเลย์ได้ทำการผ่าตัดครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การแพทย์ของไทย คือการตัดแขนพระภิกษุรูปหนึ่งที่ได้รับอุบัติเหตุจากกระบอกบรรจุดินดำทำพลุแตกในงานฉลองที่วัดประยูรวงศาวาส หมอบรัดเลย์ต้องตัดแขนพระภิกษุรูปนี้เพื่อรักษาชีวิตไว้ ทางการแพทย์ถือว่าเป็นการผ่าตัดแผนปัจจุบันครั้งแรกของไทย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2380

ผลงานชิ้นสำคัญทางการแพทย์อีกเรื่องหนึ่งคือ การริเริ่มปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ เป็นผลสำเร็จครั้งแรกในเมืองไทยทำให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเงินจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือในการหาซื้อเชื้อหนองฝีโค ซึ่งต้องสั่งนำเข้าจากสหรัฐอเมริกามาใช้เพื่อปลูกฝีให้ชาวสยาม และยังทรงให้แพทย์หลวงมาศึกษาวิธีการปลูกฝีจากหมอบรัดเลย์เพื่อขยายการปลูกฝีให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้นในประเทศไทย

หลังจากที่หมอบรัดเลย์ประสบความสำเร็จอย่างมากในทางการแพทย์ก็เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในบางกอก แต่นั่นกลับไม่ช่วยให้กิจกรรมทางด้านศาสนาประสบความสำเร็จไปด้วย ตลอดชีวิตของหมอบรัดเลย์ในสยามซึ่งกินเวลาเกือบ 40 ปีนั้น ทำให้กลับใจเปลี่ยนศาสนาได้ไม่กี่คน หรือเรียกว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าทุกสิ่งที่หมอบรัดเลย์ทำนั้นล้วนแต่เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางศ่าสนาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการแพทย์หรือการพิมพ์ก็ตาม

ส่วนงานที่หมอบรัดเลย์ทำและพัฒนาขึ้นตลอดเวลาคือ การพิมพ์ สิ่งที่น่าสนใจในงานพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแผ่ศาสนา เป็นสิ่งสนับสนุนทางการแพทย์ และยังเป็นรายได้เพื่อจุนเจือครอบครัวอีกด้วย


การพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ในสยามเริ่มต้นขึ้นเมื่อหมอบรัดเลย์เดินทางจากสิงคโปร์มาสยามและได้ซื้อตัวพิมพ์อักษรไทยและแท่นพิมพ์ไม้ติดตัวมาด้วยตัวพิมพ์และแท่นพิมพ์ไม้ชุดแรกที่เข้าสู่สยามพร้อมกับหมอบรัดเลย์ถูกนำมาตั้งเป็นโรงพิมพ์ขึ้นที่ตรอกกัปตันบุช อันเป็นที่ตั้งของคณะ เอ บี ซี เอฟ เอ็ม และได้ดำเนินการพิมพ์ใบปลิว หนังสือต่างๆในระยะแรก ตัวพิมพ์และแท่นพิมพ์ไม้นี้หมอบรัดเลย์กล่าวถึงไว้ว่า เป็นสิ่งที่อัปลักษณ์มาก

จนกระทั่งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2379 โรงพิมพ์หมอบรัดเลย์จึงได้รับแท่นพิมพ์ใหม่ที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้น ยี่ห้อโอติส และสแตนดิ้ง ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญต่อประวัติศาสตร์การพิมพ์สยาม เพราะทำให้ประสิทธิภาพในการพิมพ์สูงขึ้น และสวยงามขึ้นอย่างมาก

หมอบรัดเลย์ได้ให้กำเนิดสิ่งพิมพ์ฉบับแรกที่พิมพ์ขึ้นในประเทศคือ หนังสือบัญญัติสิบประการ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2379 หลังจากนั้นกิจการโรงพิมพ์ภายใต้การดูแลของหมอบรัดเลย์ก็เริ่มต้นพิมพ์เกี่ยวกับศาสนาออกมาอีกมากมาย

ต่อมาในปี 2382 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้โรงพิมพ์หมอบรัดเลย์พิมพ์ประกาศห้ามสูบฝิ่นจำนวน 9,000 ฉบับ นับเป็นสิ่งตีพิมพ์เอกสารทางราชการฉบับแรกในประวัติศาสตร์สยาม และถือเป็นหมายสำคัญว่ายุคแห่งการคัดด้วยลายมือกำลังจะหมดไป เป็นการเริ่มต้นยุคสมัยแห่งการพิมพ์สยาม

ในที่สุดพัฒนาการของการพิมพ์ในสยามก็มาถึงจุดสำคัญที่สุดคือ หมอบรัดเลย์และคณะสามารถหล่อตัวพิมพ์ภาษาไทยขึ้นสำเร็จเป็นครั้งแรกในปี 2384 ตัวพิมพ์ชุดนี้หมอบรัดเลย์ยังได้ทำขึ้นอีกเพื่อทูลเกล้าฯถวายเจ้าฟ้ามงกุฎ สำหรับใช้ที่โรงพิมพ์วัดบวรนิเวศวิหาร

ต่อมาในวันที่ 4 กรกฎาคม 2387 หมอบรัดเลย์ก็ได้ออกหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของสยามขึ้นในชื่อว่า หนังสือจดหมายเหตุ บางกอกรีคอเดอ กิจการโรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ได้พิมพ์หนังสือออกมาจำนวนมาก โดยเฉพาะในระยะหลังเมื่อหมอบรัดเลย์ได้รับพระราชทานที่ดินให้เช่าบริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ งานพิมพ์ส่วนใหญ่ไม่จำกัดวงเฉพาะงานทางด้านศาสนาอีกต่อไปแต่ได้พิมพ์หนังสือหลากหลายประเภท ทั้งนิยาย ประวัติศาสตร์ กฎหมาย วรรณคดี เพื่อจำหน่ายแก่บุคคลที่สนใจทั่วไป

เกือบ 40 ปีที่อยู่ในสยาม หมอบรัดเลย์ได้ทุ่มเททำงานอย่างหนักตลอดเวลา มีโอกาสเดินทางกลับบ้านเกิดเพียงครั้งเดียว เป็นช่วงเวลาที่ เอมิลี บรัดเลย์ เสียชีวิตลงในสยาม การเดินทางกลับบ้านครั้งนี้กินเวลา 3 ปี คือระหว่างปี 2390-2393 เมื่อกลับมาสยามอีกครั้ง หมอบรัดเลย์ก็มาพร้อมกับภรรยาคนใหม่ คือซาราห์ แบลชลี หลังจากนั้นก็ลงหลักปักฐานอยู่ในสยามจนเสียชีวิตที่นี่ทั้งสองคน หมอบรัดเลย์มีบุตรกับเอมิลี 5 คน และกับซาราห์ 5 คนหมอบรัดเลย์มีชีวิตอยู่ในสยามผ่านเวลามาถึง 3 แผ่นดิน คือตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 รัชการที่ 4 และรัชกาลที่ 5 โดยที่ไม่มีโอกาสร่ำรวยและสุขสบายเลย หมอบรัดเลย์เสียชีวิตลงในปี 2416 ขณะมีอายุได้ 69 ปี อนุสรณ์สถานของครอบครัวบรัดเลย์อยู่ที่สุสานโปรเตสแตนท์ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระเจริญกรุง

แต่สิ่งที่เป็นอนุสรณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหมอบรัดเลย์ต่อชาวไทยก็คือการพิมพ์และการแพทย์ แม้ว่าหมอบรัดเลย์จะไม่ได้รับการยกย่องให้เป็น"บิดา"ทั้งทางด้านการพิมพ์และการแพทย์แผนใหม่ของไทย แต่สิ่งที่หมอบรัดเลย์ได้ริเริ่มบุกเบิกไว้เป็นคนแรกนั้นก็ไม่อาจลบเลือน


ภาพ:Nnnnnnnnnnnn.JPG