สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงที่มีพระปรีชาสามารถและพระมหากรุณาธิคุณแก่พสกนิการชาวไทยอย่างล้นเหลือ โดยเฉพาะในระหว่างที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในช่วงพัฒนาและเปลี่ยนแปลง ทรงเป็นพระกำลังสำคัญในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ในการพัฒนาบ้านเมืองให้ได้รับความเจริญก้าวหน้าทั้งด้านการปกครอง การศึกษาและการสาธารณูปโภคอื่นๆ ทั้งยังทรงเป็นผู้มีความสามารถในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการปกครอง การพัฒนา การศึกษา การบริหาร โดยเฉพาะด้านประวัติศาสตร์ ทรงนิพนธ์หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไว้มากมายกว่า ๖00 เล่ม ทำให้ทรงได้รับการยกย่องให้เป็น “พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย” นอกจากนี้ยังเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ให้กำเนิดกิจการหลายอย่าง เช่น กิจการมหาดไทย ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ การศึกษา สาธารณสุข ทรงก่อตั้งโรงพยาบาล ส่วนในท้องถิ่นที่ห่างไกลทรงริเริ่มก่อตั้งโอสถศาลา หรือสถานีอนามัยในปัจจุบัน อีกทั้งทรงก่อตั้งกรมพยาบาล จนมีความก้าวหน้าและพัฒนาเป็นกระทรวงสาธารณสุขในปัจจุบัน นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในทุกรัชกาลที่ทรงรับราชการถวายสนองพระเดชพระคุณอีกด้วย
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๕๓ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ และเจ้า
จอมมารดาชุ่ม
ประสูติเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔0๕
เนื่องจากในขณะนั้นการศึกษาของไทยยังไม่มีระเบียบแบบแผนดังเช่นในปัจจุบันซึ่งต่อมาสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นพระองค์หนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการวางรากฐาน และการพัฒนากินการด้านการศึกษาให้มีระเบียบแบบแผนดังเช่นในปัจจุบันนี้ ส่วนการศึกษาในขณะนั้นส่วนใหญ่ยังคงเล่าเรียนกันตามวัด หรือสำนักของเจ้านายต่างๆ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ได้รับการศึกษาเช่นเดียวกันพระโอรสองค์อื่นในขณะนั้น โดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเข้ารับการศึกษาขั้นต้นจากสำนักคุณแสง และคุณปาน ราชนิกูลเก่าในพระบรมมหาราชวัง ภาษาบาลีจากสำนักพระยาปริยัติธรรมธาดา (เปี่ยม) และหลวงธรรมนุวัติจำนง (จุ้ย) และภาษอังกฤษจากสำนักโรงเรียนหลวง ซึ่งมีนายยอร์ช แปตเตอร์สัน (Mr. Francis George Patterson) เป็นอาจารย์ ต่อมาทรงเข้าศึกษาวิชาการทหารในสำนักหลวงรัดรณยุทธ์ (เล็ก) ในปี พ.ศ. ๒๔๑๗ ทรงเข้าพิธีโสกันต์ตามโบราณราชประเพณี จากนั้นในปีต่อมาทรงบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และผนวชเป็นพระภิกษุในปี พ.ศ. ๒๔๒๕ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ จากนั้นได้ประทับจำพรรษาที่วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม และได้ประทับจำพรรษาที่วัดนิเวศธรรมประวัติ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา
หลังจากที่ได้รับการศึกษาจนมีความรู้ความสามารถพอสมควร เมื่อพระชนมายุ ๑๔ พรรษ ได้ทรงเข้ารับราชการครั้งแรกในกองทัพบก โดยการเข้าศึกษาในฐานะนักเรียนนายร้อย และได้รับพระราชทานยศนายร้อยตรีทหารมหาดเล็กบังคับกองแตรวง แม้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เข้าทำงานในตำแหน่งทหารชั้นผู้น้อย แต่ก็มิได้ทรงรังเกียจแม้จะเป็นราชนิกูลชั้นสูงก็ตาม จากนั้นทรงได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเรื่อยๆ โดยต่อมาทรงได้รับพระราชทานตำแหน่งผู้บังคับการทหารม้า, ผู้บังคับการมหาดเล็กรักษาพระองค์, ผู้ช่วยผู้บังคับการทหารบก ตามลำดับ หลังจากที่ทรงเข้ารับราชการจนมีความชำนาญ และประสบการณ์พอสมควร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ได้มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาช่วยงานด้านพลเรือน ด้วยในขณะนั้นเป็นช่วงที่บ้านเมืองต้องการการพัฒนาอย่างมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงต้องการบุคคลผู้มีทั้งความสามารถฉลาดหลักแหลม ซึ่อสัตย์จงรักภักดีเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยในการปฏิบัติภารกินที่สำคัญ และสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ตำแหน่งทางพลเรือนที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้รับมอบหมายเป็นตำแหน่งแรกคือ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ ข้าราชการกรมธรรมการ จากนั้นในปีต่อมาทรงได้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศึกษาธิการ ทรงรับราชการจนเป็นที่พอพระทัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย โดยทรงเป็นเสนาบดีพระองค์แรกของกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากประชวรจนพระวรกายทรุดโทรมอย่างมาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีที่ปรึกษากระทรวงมหาดไทย เมื่อทรงรักษาพระอาการจนพระวรกายเป็นปกติดีแล้ว ทรงเข้ารับราชการอีกครั้งหนึ่งในตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมุรธาธร แต่ต่อมาในรัชการพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงทูลเสนอให้ยุบเลิกกระทรวงมุรธรธรนี้เสีย ด้วยไม่มีความจำเป็นมากนัก ซึ่งได้ทรงเห็นชอบตามที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทูลเสนอไป
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงก่อตั้งราชบัณฑิตยสถานขึ้น โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพดำรงตำแหน่งนายกราชบัณฑิตยสถานพระองค์แรก ราชบัณพิตยสถานมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงานหอสมุด พระนคร และพิพิธภัณฑสถาน จากความดีความชอบในราชการที่ทรงปฏิบัติมาตลอดพระชนม์ชีพ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ทรงได้รับพระราชทานพระอิสสริยยศของพระบรมวงศ์ต่างกรมเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งถือได้ว่าเป็นพระอิสสริยยศที่สูงที่สุดของพระบรมวงศานุวงศ์
หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ไปประทับที่เกาะปีนัง เพื่อนหลีกเลี่ยงความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้เสด็จกลับประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากประชวรด้วยโรคพระหทัยพิการและเข้าประทับรักษาพระองค์ ณ พระตำหนักวังวรดิศ ถ. หลานหลวง เพื่อรักษาพระอาการ แต่พระอาการไม่ดีขึ้นและทรุดหนักลงเรื่อยๆ จนกระทั่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ รวมพระชนมายุได้ ๘๑ พรรษา
ในปี พ.ศ. ๒๕0๕ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ( UNESCO) ได้ยกย่องสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพให้เป็นบุคคลสำคัญระดับโลก เนื่องจากพระนิพนธ์ด้านประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังทรงเป็นบุคคลไทยคนแรกที่ได้รับการยกย่องจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น